ผลไม้เขตร้อน ผลไม้เขตร้อน เช่น กล้วย, มะม่วง, สับปะรด, เสาวรส, ฝรั่ง, ขนุน นอกจากจะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ไฟเบอร์และวิตามินแล้ว ผลไม้เขตร้อนยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุ เช่นโพแทสเซียม, แมงกานีส, ทองแดงและแมกนีเซียม กล้วยหอมซึ่งเป็นหนึ่งในผลไม้เขตร้อนยอดนิยมนั้น มีแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, แมงกานีส 16.
เบอร์รี่ เบอร์รี่ เช่น สตรอว์เบอร์รี, บลูเบอร์รี่, ราสเบอร์รี่ ไม่ใช่แค่อร่อยเท่านั้นแต่ยังมีสารอาหารดีๆมากมาย เบอร์รี่เป็นแหล่งรวมโพแทสเซียม, แมกนีเซียมและแมงกานีส แมงกานีสมีความสำคัญต่อระบบเผาผลาญพลังงานเช่นเดียวกับระบบภูมิคุ้มกัน, ระบบประสาท สารอาหารนี้มีความสำคัญต่อการเติบโตและการดูแลกระดูกให้มีสุขภาพดีและเนื้อเยื่อ เช่นเดียวกับการผลิตสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันเซลล์จากภาวะเครียดออกซิเดชั่น 10. โยเกิร์ตและชีส ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ตและชีส เป็นแหล่งรวมแคลเซียมซึ่งมีความสำคัญต่อกระดูก, ระบบประสาท, สุขภาพหัวใจ การวิจัยพบว่าคนจำนวนมากโดยเฉพาะกับผู้สุงอายุได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ การเพิ่มโยเกิร์ตและนมเข้าไปในมื้ออาหารคือวิธีที่จะช่วยให้เราได้รับแคลเซียมมากขึ้น และสารอาหารอื่น เช่น โพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส, สังกะสี และซีลีเนียม แต่อย่างไรก็ตามมีคนหลายคนที่แพ้นม หากเราทานอาหารประเภทนมไม่ได้ก็ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่มีแคลเซียม เช่น ถั่วและผักใบสีเขียว 11. ปลาซาร์ดีน ปลาซาร์ดีนมีวิตามินและแร่ธาตุเกือบทุกชนิดที่ร่างกายคนต้องการ เนื้อปลาซาร์ดีน 106 กรัม มีแคลเซียม 27%, ธาตุเหล็ก 15%, แมกนีเซียม 9%, ฟอสฟอรัส 36%, โพแทสเซียม 8% และซีลีเนียม 88% ของที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน นอกจากนี้ยังมีโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยต่อต้านอาการอักเสบได้ 12.
การหมุนเวียนของแร่ธาตุและการถ่ายทอดพลังงานเป็นหัวใจสำคัญของระบบนิเวศทำให้ระบบนิเวศคงอยู่ได้ การหมุนเวียนของแร่ธาตุเป็นวัฏจักรจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่สิ่งมีชีวิตและจากสิ่งมีชีวิตถูกปลดปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมอีก หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป การหมุนเวียนของธาตุอาหารนี้เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันระหว่างกระบวนการทางชีวภาพ การะบวนการทางกายภาพ และกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นทั้งในสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ทำให้แร่ธาตุเกิดการหมุนเวียนอยู่ในระบบนิเวศได้จึงเรียกว่า การหมุนเวียนทางชีวธรณีเคมี หรือ วัฏจักรชีวธรณีเคมี (Biogeochemical Cycle) ภาพที่ 2.
04 และในน้ำซึ่งอยู่ในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์อิสระ หรือรูปของไบคาร์บอเนต ภาพที่ 2.
What is Minerals? - FOOD INGREDIENT TECHNOLOGY ประโยชน์ของแร่ธาตุต่อร่างกาย ปริมาณของแร่ธาตุที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน เรียบเรียงและอ้างอิงจาก: บทความเรื่อง "16 ประโยชน์ของเกลือแร่! (Minerals)", "แร่ธาตุ คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร", เรียบเรียงโดย อทิตยา ทรัพย์สะสม Food Ingredient Technology Co., Ltd. 1526-1540 Soi Phatthanakan 48, Phatthanakan Road, Phatthanakan, Suan Luang, Bangkok 10250, Thailand Tel: +66 2073 0977 Fax: +662 7229389 © Copyright 2019 by Food Ingredient Technology. All Rights Reserved.
/ไร่ พบว่า เป็นส่วนของคาร์บอน ออกซิเจน และ ไฮโดรเจน ถึง 950 กก. ที่เหลืออีกเพียง 50 กก. ที่เป็นส่วนของแร่ธาตุที่อยู่ในดิน ซึ่งถ้าดินขาด เราจะเติมให้พืชในรูปของปุ๋ย (ให้สังเกตพืชที่โตในป่า บนเขา ตามข้างถนน ไม่เคยถูกใส่ปุ๋ย แต่ทำไมพืชเจริญเติบโตได้ดี เพราะ 95% มาจากน้ำและอากาศ 5% มาจากดิน พืชดูดขึ้นไปใช้ ใบแก่ร่วงลงดิน แล้วย่อยสลายกลับมาเป็นอาหารพืชใหม่ แต่ข้าวในนาธาตุอาหารติดออกไปกับเมล็ด และสูญเสียไปกับการเผาฟาง) ในส่วนของธาตุอาหารที่พืชดูดใช้จากดิน (5%) เมื่อนำชิ้นส่วนพืชไปวิเคราะห์ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นธาตุไนโตรเจน 1. 5% ฟอสฟอรัส 0. 1-0. 4% โพแทสเซียม 1-5% กำมะถัน 0. 4% แคลเซียม 0. 2-1% และแมกนีเซียม 0.
วิตามินและแร่ธาตุคืออะไร?? ทำไมจึงสำคัญ??
แร่ธาตุหลัก แร่ธาตุหลัก (Macro Minerals) คือแร่ธาตุที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวัน ซึ่งในหนึ่งวันนั้นแร่ธาตุหลักที่ร่างกายควรได้รับต้องมีอย่างน้อย 100 มิลลิกรัม ได้แก่ แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, แมกนีเซียม, โซเดียม, โพแทสเซียม, กำมะถัน, คลอไรด์ โดยร่างกายของคนส่วนใหญ่จะมีปริมาณแคลเซียมมากที่สุด รองลงมาก็คือ ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โพแทสเซียมและโซเดียม 2.