ที่สำคัญเมื่อได้เงินจากการทำงานแล้ว อย่าลืมเก็บเอกสาร " ใบหักภาษี ณ ที่จ่าย" หรือที่เรียกว่า " ใบ 50 ทวิ" ไว้ด้วยทุกครั้ง เนื่องจากต้องนำเอาข้อมูลในเอกสารนี้ไปยื่นภาษี หากฟรีแลนซ์คนไหนที่ไม่ได้ใบหักภาษี ณ ที่จ่าย ก็ควรที่จะทวงถามจากผู้ว่าจ้างทุกครั้ง โดยกรณีนี้จะต้องเป็นรายได้ที่เกิน 1, 000 บาทขึ้นไป ซึ่งโดยปกติแล้ว หากรับงานฟรีแลนซ์ ผู้ว่าจ้างส่วนใหญ่จะหักภาษี ณ ที่จ่ายทันที โดยผู้ว่าจ้างจาก 2 รูปแบบ คือ 1. หัก 3% ของเงินที่จ่ายทุกครั้ง 2. คำนวณภาษีจากรายได้สะสมที่ได้รับจากผู้ว่าจ้าง เช่น ผู้ว่าจ้างหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ซึ่งตรงส่วน 3% นี้เหมือนเป็นการจ่ายภาษีล่วงหน้าไปแล้ว แต่ยังไม่สิ้นสุดกระบวนการเสียภาษี เนื่องจากต้องดูว่า เงินได้อยู่ในลำดับขั้นใดของเงินได้สุทธิ หากคำนวณแล้วภาษีที่ต้องจ่าย มากกว่า 3% ที่โดนหัก ณ ที่จ่ายไป ฟรีแลนซ์จะต้องจ่ายภาษีเพิ่ม หรือหากน้อยกว่า ก็สามารถขอคืนภาษีได้ด้วย ตัวอย่างใบหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยกรอบเวลาการยื่นและจ่ายภาษีมีทั้งช่วงต้นปี ตั้งแต่มกราคม - มีนาคมของปีถัดไป แต่!! หากฟรีแลนซ์มีรายได้จากเงินได้ประเภท 40(5)-(8) ต้องนำรายได้ส่วนนั้นที่ได้รับในครึ่งปีแรกไปยื่นภาษีตามแบบ ภ.
เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดไว้อย่างไร เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 6 ได้แก่ เงินได้จากวิชาชีพอิสระ ประกอบด้วย วิชากฎหมาย การประกอบโรคศิลปะ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี ประณีตศิลปกรรม หรือวิชาชีพอิสระอื่น ตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร 1. เป็นที่น่าสังเกตว่า เงินได้พึงประเมินประเภทนี้ ถูกแยกออกจากเงินได้จากการรับทำงานให้ตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งที่พื้นฐานของการมีเงินได้มีลักษณะใกล้เคียงกัน กล่าวคือ (1) เป็นการประกอบอาชีพที่ใช้ความสามารถของบุคคลธรรมดาคนเดียวตามลำพัง (2) เงินได้เป็นไปตามสัญญารับทำงานให้หรือสัญญาจ้างทำของ ซึ่งมุ่งผลสำเร็จของงาน (3) ผู้รับทำงานให้มีอิสระในการปฏิบัติงานไม่ต้องขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ข้อบังคับของผู้ว่าจ้าง 2.
ตามมาตรา 40(6) แห่งประมวลรัษฎากร วิศวกรรมหมายความว่าวิชาชีพการช่างในสาขาวิศวกรรมโยธาวิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมอุตสาหการ วิศวกรรมเหมืองแร่และสาขาวิศวกรรมอื่นใด ซึ่งจะได้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ตัวผมเป็นพนักงานบริษัทที่รับเงินเดือน จบวิศวกรรมอิเล็ก-โทรคมนาคม อยู่ในสายวิศวกรรมไฟฟ้า จบมายังไม่ได้สอบใบ กว คำถามคือ 1. ขั้นตอนการเลือกเงินได้พึงประเมินต้องเลือก 40(1) หรือ 40(6) ถึงจะถูกครับ 2. ต้องการหักค่าใช้จ่ายได้ตาม 40(6) ที่หักได้ถึง 60% ต้องมีอะไรบ้างเพื่อมารองรับ 40(6) ให้ถูกต้อง รบกวนผู้รู้หน่อยครับ
กรณีผู้มีเงินได้ทำงานในสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชน โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนหรือค่าจ้าง หรือมีรายได้พิเศษจากสถานพยาบาลที่ตนทำงานอยู่ เช่น เงินค่าล่วงเวลาจากการเข้าเวร หรือค่าตอบแทนพิเศษในการรักษาผู้ป่วย เป็นต้น ค่าตอบแทนที่ได้รับถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร 2. กรณีผู้มีเงินได้ตาม 1 ไปทำงานเป็นครั้งคราวในสถานพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง โดยได้รับค่าตอบแทนหรือค่าจ้างจากการทำงานเป็นจำนวนแน่นอนในแต่ละเดือน ไม่ว่าหน้าที่หรือตำแหน่งงานหรืองานที่รับทำให้นั้นจะเป็นงานประจำหรืองานชั่วคราว ค่าตอบแทนที่ได้รับถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร 3. กรณีผู้มีเงินได้ทำสัญญาหรือข้อตกลงพิเศษกับสถานพยาบาลที่ตนทำงานอยู่เพื่อประกอบโรคศิลปะเป็นการส่วนตัวนอกเวลาทำการปกติ โดยการรับตรวจและรักษาผู้ป่วย และมีข้อตกลงแบ่งเงินที่ตนได้รับจากผู้ป่วยให้แก่สถานพยาบาลเป็นลายลักษณ์อักษร ค่าตอบแทนที่ได้รับถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร 4. กรณีผู้มีเงินได้ทั้งที่ทำงานประจำและมิได้ทำงานประจำในสถานพยาบาลของรัฐหรือของเอกชน แต่ได้ประกอบโรคศิลปะ โดยการรับตรวจและรักษาผู้ป่วยที่ตนนำเข้ามารักษาที่สถานพยาบาลอีกแห่งหนึ่งเป็นครั้งคราว ค่าตอบแทนที่ได้รับถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร 5.
47 บาท ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 289. 47 บาท และมาตรา 40(5) แห่งประมวลรัษฎากร ค่าเช่า จำนวน 35, 263. 14 บาท ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 1, 763. 14 บาท ซึ่งได้ขอคืนภาษีที่ชำระไว้เกิน จำนวน 6, 549. 87 บาท 2. ในการพิจารณาคืนภาษีพบว่า เงินได้จากค่าทนายความและเงินเดือนจ่ายจากแหล่งเดียวกันถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อคำนวณภาษีใหม่ปรากฏว่ามีภาษีที่ชำระไว้เกินจำนวน 719. 41 บาท และสั่งให้คืนภาษีที่ชำระไว้เกินแล้วตามหนังสือแจ้งคืน ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2547 3. ต่อมานาย ศ. ได้ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร ค. 10 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2547 กรณีได้รับภาษีคืนน้อยกว่าที่ขอ พร้อมทั้งนำเอกสารสำเนา ภ. ง. ด. 1 ก มายื่นเพิ่มเติม และหนังสือจากบริษัท เอ.