ผู้มีหน้าที่เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินผู้มีหน้าที่เสียภาษี หรือ"ผู้รับประเมิน" ตาม พ. ร. บ.
01 – 0. 1 2. ที่อยู่อาศัย อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน ร้อยละ 0. 02 – 0. 1 ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน ร้อยละ 0. 03 – 0. 2 สิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน ร้อยละ 0. 3 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัยกรณีอื่นนอกเหนือจาก 2. 1 และ 2. 2 อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน ร้อยละ 0. 1 3. การใช้ประโยชน์อื่นนอกเหนือจากข้อ 1 และข้อ 2 อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน ร้อยละ 0. 3-0. 7 4. ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน ร้อยละ 0. 3 – 0. 7 "อัตราที่ประกาศในพระราชกฤษฎีกานี้ จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 และไม่ได้ขยายเวลาการปรับลดอัตราการจ่ายภาษีลง 90% แต่อย่างใด เพราะยังไม่ได้มีมติคณะรัฐมนตรี(ครม. )ออกมาในเรื่องนี้ และสศค. เองก็ไม่ได้เป็นผู้นำเสนอด้วย"นายพรชัยกล่าว ข่าวที่น่าสนใจ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดินและกฎหมายว่าด้วย ภาษีบำรุงท้องที่พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย พ. ร. บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ ประกาศลงใน ราชกิจจานุเบกษา แล้ว โดยได้กำหนดอัตราภาษีที่ดินขึ้นใหม่ ที่ดินเพื่อการเกษตรจะถูกเก็บภาษีในอัตราต่ำที่สุด ไม่เกินปีละ 0. 15% ของมูลค่าที่ดิน ส่วนที่ดินว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จะถูกเก็บภาษีสูงสุดที่ไม่เกินปีละ 1. 2% ของมูลค่าที่ดินและอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นทุก 3 ปีหากยังไม่มีการนำไปใช้ประโยชน์ ทั้งนี้อัตราภาษีใหม่ทั้งหมดจะเริ่มใช้ในปี 2563 เป็นต้นไป (13 มี. ค. 62) ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ. ศ. 2563 เนื้อหาเป็นการกำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างขึ้นใหม่ โดยตาม พ. ฉบับนี้ ได้แบ่งที่ดินออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย ที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์อื่นๆ นอกเหนือจากการเกษตรกรรมและอยู่อาศัย และที่ดินว่างเปล่าที่ไมได้มีการนำไปใช้ประโยชน์ โดยที่ดินแต่ละประเภทจะถูกเก็บภาษีในอัตราต่างกัน ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม จะถูกเก็บภาษีในอัตราต่ำที่สุด นั่นคือไม่เกินปีละ 0.
ภาษีที่ดินฉบับใหม่เป็นธรรม และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นเป็นหลัก นายลวรณ ย้ำว่า พ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ ฉบับนี้เป็นที่สิ้นสุดแล้ว อัตราการจัดเก็บตามที่ประกาศทุกอย่าง โดยกฎหมายจะมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2563 เหลือเวลาเตรียมตัวอีกปีเศษๆ ก็จะมีผลในทางปฏิบัติแล้ว 'ภาษีลาภลอย' ยังอีกยาวไกล ส่วน "ภาษีลาภลอย" เป็นอีกกฎหมายที่หลายคนกังวง แต่นายลวรณ เผยว่ากฎหมายนี้เพียงแค่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม. ) หนทางยังอีกยาวไกลกว่าจะออกมาเป็นกฎหมายได้ เพราะยังไม่ผ่านกฤษฏีกา และคาดว่าจะนำเสนอเข้าสู่สภานิติบัญญัติ(สนช. ) ไม่ทันในรัฐบาลนี้แน่นอน ยังไม่ต้องกังวลมาก อย่างไรก็ตาม หลักการของข้อกฎหมาย ภาษีลาภลอย มาจากหลักคิดที่ว่ารัฐบาลลงทุนสาธารณูปโภคไปด้วยเม็ดเงินมหาศาล และทำให้อสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่โครงการลงทุนของรัฐบาลเหล่านั้นได้ผลประโยชน์ จากมูลค่าที่เพิ่มขึ้น เจ้าของอสังหาฯนั้นได้ประโยชน์ ก็ควรต้องเสียภาษี อย่างไรก็ตาม เพดานอัตราการจัดเก็บเต็มที่จะอยู่ที่ 5% ส่วนจะเก็บจริงเท่าไร ต้องไปออกพ. ฏ. อีกที ดูความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ โดยหากจัดเก็บก็จะคำนวณเฉพาะส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่มูลค่ารวม แต่ระหว่างนั้น หากมีการเปลี่ยนมือซื้อขาย ก็จะจัดเก็บทุกครั้งของการเปลี่ยนมือ ขายที่-ขายบ้านระหว่างก่อสร้างเก็บหมด โดยเก็บผ่านกรมที่ดินเมื่อโอนกรรมสิทธิ์ แต่ถ้าไม่เปลี่ยนการใช้ประโยชน์ โดยเจ้าของยังคงถือครองเช่นเดิมก็ปกติไม่เสียภาษี ทั้งที่ยู่อาศัยและพื้นที่เกษตรกรรม
15% ของมูลค่าที่ดิน นอกจากนี้ยังได้รับการลดหย่อนในช่วง 2 ปีแรก ให้จ่ายภาษีในอัตราปีละ 0. 01-0. 1% ของมูลค่า แล้วแต่ว่าที่ดินผืนดังกล่าวมีมูลค่าเท่าไหร่ โดยถ้าที่ดินมีมูลค่าประเมินไม่เกิน 70 ล้านบาท จะเสียภาษีปีละ 0. 01% ของมูลค่า แต่ถ้ามูลค่าของที่ดินเกินกว่า 1, 000 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องเสียภาษีในอัตราปีละ 0. 1% ในช่วง 2 ปีแรก สำหรับที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย จะถูกเก็บภาษีในอัตราปีละไม่เกิน 0. 3% ของมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยในช่วง 2 ปีแรกจะได้รับการลดหย่อนภาษีเช่นกัน โดยอัตราภาษีจะอยู่ในช่วง 0. 02%-0. 1% ต่อปีในช่วง 2 ปีแรก อย่างไรก็ตาม หากเป็นเจ้าของบ้านที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน หากราคาที่ดินและบ้านไม่เกิน 50 ล้านบาท จะไม่ต้องเสียภาษีเลยเพราะได้รับการยกเว้น ในขณะที่ที่ดินประเภทที่สาม นั่นคือที่ดินที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆ นอกเหนือจากการเกษตรกรรมหรืออยู่อาศัย พ. ฉบับนี้กำหนดให้ต้องเสียภาษีที่ดินไม่เกินปีละ 1. 2% ของมูลค่าที่ดิน โดยในช่วง 2 ปีแรกได้รับการลดหย่อนอัตราภาษีเช่นเดียวกับที่ดินประเภทอื่นๆ โดยอัตราภาษีจะอยู่ในช่วง 0. 3-. 07% ต่อปีแล้วแต่มูลค่าของที่ดิน ยิ่งที่ดินมีมูลค่ามากก็จะยิ่งต้องเสียภาษีที่ดินในอัตราที่สูงขึ้น สุดท้าย สำหรับที่ดินว่างเปล่าที่ไม่ได้มีการนำไปใช้ประโยชน์ จะต้องเสียภาษีที่ดินในอัตราสูงสุดปีละไม่เกิน 1.
ร. บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ. ศ.
02% หรืออัตรา "ล้านละ 200 บาท" ส่วนเจ้าของบ้านพร้อมที่ดิน รวมถึงเจ้าของสิ่งปลูกสร้างที่ไม่รวมที่ดิน ที่มีมูลค่าเกินกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องเริ่มภาษีแบบขั้นบันได โดยเริ่มจากอัตรา 0. 03% หรือ "ล้านละ 300 บาท", มูลค่าเกินกว่า 75 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0. 05% และ มูลค่าเกินกว่า 100 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0. 1% หรือ "ล้านละ 1, 000 บาท" ตัวอย่างเช่น เรามีบ้านพร้อมที่ดิน มูลค่า 30 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้ามูลค่าบ้านพร้อมที่ดินเพิ่มเป็น 70 ล้านบาท อัตราภาษีที่ต้องเสียคือ 0. 03% โดยเอามูลค่าบ้านพร้อมที่ดินหักด้วยมูลค่าที่กฎหมายยกเว้นให้ นั่นคือ 70 – 50 = 20 ล้านบาท แล้วจึงนำ 20 ล้านบาท มาคูณ 0. 03% เท่ากับ 6, 000 บาท หมายความว่า ถ้าเรามีบ้านและที่ดิน มูลค่า 70 ล้านบาท เราจะเสียภาษี (ช่วง 2 ปีแรก) 6, 000 บาท นั่นเอง 2. เจ้าของที่อยู่อาศัยหลังที่สองขึ้นไปเพื่อใช้อยู่อาศัย แต่ไม่ใช่บ้านหลังหลัก (บ้านหลังอื่น) จะไม่ได้รับการยกเว้นภาษีไม่ว่ามูลค่าจะมากหรือน้อย โดยเจ้าของบ้านพร้อมที่ดิน หรือเจ้าของสิ่งปลูกสร้างไม่รวมที่ดิน ซึ่งมีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท เริ่มเสียภาษีที่อัตรา 0. 02% ส่วนมูลค่าที่เกินกว่า 50 ล้านบาทนั้น ให้คำนวณด้วยอัตราเดียวกับเจ้าของบ้านหลังหลัก (อัตรา 0.