เมื่อขุดได้ระดับที่ต้องการแล้ว จะทำระดับตัดหัวเข็มให้สามารถวางฐานรากได้ตามแบบกำหนด การตัดหัวเสาเข็มอาจโผล่เหล็ก Dowel ไว้ดีกว่าเพราะช่วยเพิ่มแรงยึดเหนี่ยวระหว่างเสาเข็มและฐานราก แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบก่อสร้างหรือวิศวกรผู้ควบคุมงาน เสา เข็มในส่วนที่ยาวเกินความต้องการ ต้องเอาออกก่อน โดยใช้ไฟเบอร์ตัดรอบ ๆ และสกัดคอนกรีตออก หรือถ้าเป็นเสาเข็ม I ใช้ค้อนทุบที่ปีกเสา ใช้ที่ตัดเหล็กตัดลวดเหล็กเสริมคอนกรีตเสา หลังจากนั้นจึงใช้ไฟเบอร์ ตัดในตำแหน่งที่ต้องการ การตัดหัวเข็ม ต้องได้ระนาบสวย หลังจากตัดหัวเข็มแล้ว 3. ทำการบดอัดทรายหรือกรวด และเทคอนกรีตหยาบ โดยที่ต้องตรวจสอบให้ได้ระดับตามที่แบบก่อสร้างกำหนด การขุดดินฐานรากและการทำระดับตัดเสาเข็ม 4. ก่อนทำการเช็คศูนย์เสา ช่างทำการตรวจสอบ ผังที่วางเอาไว้ตั้งต่อตอนตอกเข็ม ว่าเคลื่อนหรือไม่ โดยจากเช็คจากหมุดอ้างอิงที่ทำไว้ตอนวางผัง 5. ตรวจสอบศูนย์เสาเข็ม เพื่อดูว่าเสาเข็มที่ทำไว้หนีศูนย์เกินกว่าค่าที่วิศวกรผู้ออกแบบได้ออกแบบ ไว้หรือไม่ หากหนีศูนย์เกินกว่าค่าที่กำหนดไว้จะได้ทำการแก้ไขต่อไปโดยอาจจะตอกเสาเข็ม แซม ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของวิศวกรผู้ออกแบบ 6.
EP 3. ฐานรากและเสาตอม่อ Foundation - YouTube
Posted: December 16, 2020 ผู้เขียน: siam woodworker หลังจากเอารถมาขุดหลุมและฝังเสาเข็มลงไปในบ่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการเทปูนทำฐานรากตอม่อครับ ส่วนประกอบของตอม่อจะมีเหล็กเส้นขนาด 12 มม. เป็นโครงหลัก และเหล็กขนาด 6 มม. เป็นเหล็กปลอกสี่เหลี่ยมที่รัดเอาเหล็กแกนเสาขนาด 12 มม.
การออกแบบงานวิศวกรรมโครงสร้าง คอนกรีต (STRUCTURAL CONCRETE ENGINEERING DESIGN หรือ SCE) การเลือกใช้งานคอนกรีตสำหรับงานสลิปฟอร์ออกมาทั้งหมด 5 ข้อ 1. แจ้งข้อมูลต่างๆ แวดล้อมการทำงานให้ชัดเจนกับทางโรงงานผู้ผลิต เช่น ความยากง่ายของการเข้าออกของสถานที่ก่อสร้าง เป็นต้น เพื่อให้ทางโรงงานผู้ผลิตได้ทราบและทำการออกแบบสัดส่วนการผสมคอนกรีตให้มีความเหมาะสมกับสภาพการณ์ตามที่ได้แจ้งไป 2. เมื่อมีการนำส่งคอนกรีตสำเร็จรูปเพื่อใช้สำหรับงานสลิปฟอร์มที่หน้างาน ให้ทีมวิศวกรที่คอยทำหน้าที่ในการตรวจสอบค่าการยุบตัวของคอกนรีต หรือ SLUMP TEST ให้เก็บข้อมูลตัวอย่างและค่าของการยุบตัวของคอนกรีตสำเร็จรูปทุกคันที่เข้ามาที่หน้างาน และไม่ควรทำการสุ่มตรวจข้อมูลดังกล่าวเหมือนกันกับขั้นตอนในการเทคอนกรีตทั่วๆไป เพราะการทำงานกับสลิปฟอร์มนั้นค่อนข้างที่จะมีความพิเศษแตกต่างออกไปจากขั้นตอนในการก่อสร้างทั่วไป 3. ขั้นตอนของการติดต่อประสานงานกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเทคอนกรีตนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นมากในขณะที่ทำการเทคอนกรีต เพราะหากมีระยะเวลาในการเทนั้นเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะ เพิ่มขึ้น หรือ ลดลง ก็ตาม ต้องทำการหยุดการเทคอนกรีตชั่วขณะ หรือต้องทำการเร่งขั้นตอนการเทคอนกรีตให้เร็วยิ่งขึ้น จึงควรทำการแก้ปัญหานี้โดยการติดต่อประสานงานกับโรงงานผู้ผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปโดยด่วน ทั้งนี้ก็เพื่อให้โรงงานผู้ผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปนั้นสามารถทำการปรับสัดส่วนการผสมคอนกรีตให้มีระยะเวลาในการก่อตัวของคอนกรีตที่มีความเหมาะสม และสอดคล้องกันกับระยะเวลาทำงานจริงที่หน้างาน 4.
ทำความสะอาดหลุมฐานรากก่อนประกอบแบบหล่อและวางเหล็กเสริม 7. ติดตั้งแบบหล่อฐานราก โดยที่แบบหล่ออาจเป็นไม้ เหล็ก หรือก่ออิฐบล็อกทำเป็นแบบหล่อก็ได้ การใช้อิฐบล็อกเป็นแบบหล่อ จะรวดเร็วและสะดวกกว่าไม้แบบเพราะไม่ต้องเสียเวลาถอดแบบหล่อ แต่ถ้าเป็นฐานรากใหญ่ที่คอนกรีตมีแรงดันมากไม่ควรใช้เพราะแบบหล่ออาจแตกพัง ทลายได้ การใช้อิฐบล็อกเป็นแบบหล่อจะทำให้ฐานรากหนาขึ้น แต่ทั้งนี้แล้วขึ้นอยู่กับแบบก่อสร้างหรือวิศวกรวิศวกรเป็นผู้กำหนด เหล็ก เสริมฐานรากต้องเป็นตามแบบก่อสร้าง ทั้งขนาด จำนวนเส้น ระยะห่างการวางเหล็ก การงอเหล็ก รวมทั้งระยะหุ้มคอนกรีตฐานรากอย่างต่ำ 6 - 7. 5 เซนติเมตร 8. ตรวจสอบแบบหล่อ เหล็กเสริม ค้ำยันแบบหล่อ ให้เป็นไปตามแบบก่อสร้าง โดยเฉพาะแบบหล่อและค้ำยันต้องแข็งแรง ถ้าเป็นดินอ่อนต้องระวังเป็นพิเศษ อาจใช้ไม้ตีเป็นตีนค้ำยันคล้ายกับผนังกันดินเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับ แรงของค้ำยัน 9.
2 ระดับความสูงของพื้นชั้นล่าง การพิจารณาว่าดินที่จะขุดนั้นลึกลงไปเท่าไร ในวีดีโอคลิปมีคำอธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียดอยู่แล้ว ดูที่วีดีโอนะครับ รับชม หรือดาวน์โหลดแบบฟอร์มตรวจสอบงานสร้างบ้าน -โปรดอ่านต่อหน้าถัดไป - หากมีข้อสงสัย ต้องการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการว่าจ้างผู้รับเหมา และ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างบ้าน ปรึกษาได้ฟรีครับ โดยคลิกที่ไอคอนข้างล่างนี้ กลับไปหน้า สารบัญแนวทางในการตรวจงานสร้างบ้าน
รู้จักฐานราก ฐานราก มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า Footing เป็นส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดโครงสร้างบ้านที่แข็งแรงทั้งหลัง ดังนั้นความสำคัญของงานฐานรากจึงมีอยู่มากมาย เพราะทำหน้าที่แบกรับน้ำหนักจากเสา แล้วถ่ายลงสู่ดิน การใช้ฐานรากแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก จะทำให้ก่อสร้างได้ง่าย รวดเร็ว และมีความแข็งแรง ทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ โดยฐานรากนี้จะฝังเอาไว้อยู่ใต้ดิน 2. ฐานรากแบบวางบนดิน สำหรับฐานรากแบบวางบนดิน หรือมีชื่อเรียกว่า Bearing Foundation นั้นเป็นโครงสร้างที่สามารถรับน้ำหนักทั้งหมดของตัวบ้าน อาคาร หรือ สิ่งก่อสร้างต่าง ๆได้ ซึ่งจะส่งถ่ายน้ำหนักมาจากตอม่อลงสู่ฐานราก จากนั้นถ่ายน้ำหนักลงสู่ชั้นดินฐานราก เป็นการถ่ายน้ำหนักลงดินชั้นบนโดยตรง ซึ่งเราเรียกฐานรากแบบนี้ว่าฐานรากวางบนดิน เหมาะกับพื้นที่ที่มีดินชั้นบนเป็นดินแข็งที่มีความสามารถในการรับน้ำหนักบรรทุกต่อสิ่งก่อสร้างได้ 3. ฐานรากที่มีเสาเข็ม ต่อมาเป็นฐานรากเสาเข็ม ฐานรากแบบนี้จะเป็นการวางฐานรากของบ้านด้วยการตอกเสาเข็มลงลึกไปจนถึงในชั้นดิน นิยมใช้กับสภาพดินเนื้ออ่อน ซึ่งไม่สามารถรับน้ำหนักของโครงสร้างบ้านได้ มีจุดเด่นในเรื่องของฐานรากแบบเสาเข็ม จะเป็นฐานรากแบบลึก ซึ่งปัจจุบันที่เรานิยมใช้กันคือเสาเข็มคอนกรีต หรือเสาเข็มไม้สำหรับบ้านไม้นั่นเอง 4.